ภาษีเงินได้ (Deferred Tax)

Updated on 1 พฤษภาคม 2559

         ประเทศส่วนใหญ่ในโลกจะจัดทำบัญชีขึ้นตามมาตรฐานการบัญชี (ซึ่งปัจจุบันนี้มีมาตรฐานการบัญชีอยู่ 2 ค่ายคือ IFRS กับ USGAAP) โดยปกติมาตรฐานการบัญชีจะมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวกับกิจการได้นำเสนอรายงานที่มีประโยชน์ต่อผุ้ลงทุน ผู้ให้กู้ยืมหรือเจ้าหนี้อื่นเพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับการให้ทรัพยากรแก่กิจการตัวอย่างเช่น การซื้อขาย หรือถือตราสารทุนและตราสารหนี้และการให้หรือชำระเงินกู้และสินเชื่อในรูปแบบอื่น

         หลังจากที่กิจการได้จัดทำรายการทางการเงินตามมาตรฐานการบัญชีเรียบร้อยแล้วกิจการต้องคำนวณภาษีเงินได้เพื่อเสียภาษีเงินได้ตามฐานกำไรสุทธิ ในขั้นตอนการคำนวณภาษีเงินได้นี้กิจการต้องมีการปรับปรุงกำไรสุทธิทางบัญชีให้เป็นกำไรสุุทธิทางภาษี เนื่องจากกำไรสุทธิทางบัญชี (วัดมูลค่าตามมาตรฐานการบัญชีเพื่อผู้ลงทุน) และกำไรสุทธิทางภาษี (คำนวณจากประมวลรัษฎากรเพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดเก็บภาษี)มาจากความมุ่งหมายที่แตกต่างกัน

         ความแตกต่างกันระหว่างกำไรสุทธิทางบัญชีและกำไรสุทธิทางภาษีนี้เองอาจส่งผลให้กิจการบันทึกรายการบางรายการที่อยู่นอกงบแสดงฐานะการเงินไม่ครบถ้วน จึงเป็นเหตุทำให้เกิดแนวคิดในการนำสินทรัพย์หรือหนึ้สินที่เดิมเคยอยู่นอกงบแสดงฐานะการเงินมาอยู่ในงบแสดงฐานะการเงินตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 12 เรื่อง ภาษีเงินได้นี้

         ในบทความนี้จะนำเสนอแนวคิดและวิธีการบัญชีสำหรับการบัญชีภาษีเงินได้ตามวิธีภาษีเงินได้รอตัดบัญชี (Deferred Tax)

      1. เกรินนำ

         วิธีการบัญชีเกี่ยวกับภาษีเงินได้นั้นแบ่งออกเป็น 2 วิธี คือ (1) วิธีการบัญชีภาษีเงินได้ค้างจ่าย (Income Tax Payable Method) วิธีนี้กิจการต้องรับรู้ภาษีเงินได้ที่ต้องชำระให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นค่าใช้จ่ายในงบกำไรขาดทุนและแสดงภาระภาษีเงินได้ที่กิจการค้างชำระสุทธิจากภาษีหัก ณ ที่จ่ายให้รับรู้เป็นหนี้สิน วิธีการบัญชีนี้เป็นวิธีที่เป็นแนวปฎิบัติเดิมมักใช้กับกิจการขนาดเล็กและไม่ถูกกำหนดให้ใช้มาตรฐานการบัญชีฉบับใหญ่ (2) วิธีภาษีเงินได้รอตัดบัญชี (Deferred Tax Method) เป็นวิธีการบัญชีที่เลือกรับรู้ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้หรือรายได้ภาษีเงินได้ และสินทรัพย์หรือหนี้สินภาษีเงินได้รอการตัดบัญชีโดยใช้วิธีหนี้สินตามงบแสดงฐานะการเงิน (BalanceSheet Liability Method) วิธีการบัญชีนี้เป็นวิธีการบัญชีแนวคิดใหม่โดยบังคับใช้ (มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 12) กับกิจการที่มีส่วนได้เสียสาธารณะ เช่น สถาบันการเงิน บริษัทประกัน บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น

      2. คำกำจัดความ

         ในส่วนนี้เราจะมาทำความเข้าใจคำจำกัดความของคำศัพท์ต่างๆ เพื่อความเข้าใจที่ตรงกันในบทความนี้ โดยคำศัพท์เหล่านี้จะอ้างอิงมาจากมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 12 (TFRS12)

          ภาษีเงินได้ (Income Taxes) หมายถึง ภาษีทั้งหลายของกิจการทั้งภายในประเทศและต่างประเทสที่คำนวณจากกำไรทางภาษี (Taxable Profits) รวมทั้งภาษีซึ่งบริษัทย่อย บริษัทร่วม และการร่วมการงานต้องจ่าย เนื่องจากการจำหน่ายเงินกำไรให้แก่กิจการที่เสนอรายงาน เช่น ภาษีหัก ณ ที่จ่าย

          กำไรทางบัญชี (Accounting Profit) หมายถึง กำไรหรือขาดทุนสำหรับงวด ก่อนหักค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้

          กำไร(ขาดทุน)ทางภาษี (Taxable profit (tax loss)) หมายถึง กำไร(ขาดทุน) สำหรับงวดซึ่งคำนวณตามเกณฑ์ของประมวลรัษฎากร เพื่อใช้คำวณภาษีเงินได้ที่ต้องชำระหรือได้รับคืน

          ค่าใช้จ่าย (รายได้) ภาษีเงินได้ (Tax expense (tax income)) หมายถึง ผลรวมของภาษีเงินได้ของงวดปัจจุบัน (Current tax)และภาษีเงินได้รอการตัดบัญชีที่ใช้ในการคำนวณกำไรหรือขาดทุนสำหรับงวด

          ค่าใช้จ่าย (รายได้) ภาษีเงินได้ (Tax expense (tax income)) หมายถึง ผลรวมของภาษีเงินได้ของงวดปัจจุบัน (Current tax)และภาษีเงินได้รอการตัดบัญชีที่ใช้ในการคำนวณกำไรหรือขาดทุนสำหรับงวด

          ภาษีเงินได้งวดปัจจุบัน (Current income) หมายถึง ผจำนวนภาษีเงินได้ที่ต้องชำระหรือสามารถขอคืนได้ ซึ่งเกิดจากกำไร(ขาดทุน)ทางภาษีสำหรับงวด คูณกับอัตราภาษีเงินได้

          ภาษีเงินได้รอตัดบัญชี (Deferred Tax) หมายถึง ผลต่างระหว่างค่าใช้จ่าย(รายได้) ภาษีเงินได้กับภาษีเงินได้ของงวดปัจจุบัน ภาษีเงินได้รอตัดบัญชีเป็นรายการบัญชีที่รับรูปในงบแสดงฐานะการเงิน โดยสามารถแบ่งได้ออกเป็น 2 ประเภทคือ สินทรัพย์ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี (Deferred Tax Assets) และ หนี้สินภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี (Deferred Tax Liabilities)

          สินทรัพย์ภาษีเงินได้รอตัดบัญชี หมายถึง จำนวนภาษีเงินได้ที่กิจการสามารถขอคืนได้ในอนาคตซึ่งเกิดจากใดรายการหนึ่งต่อไปนี้ คูณด้วยอัตราภาษี
         ■ ผลแตกต่างชั่วคราวที่ใช้หักภาษี
         ■ ขาดทุนทางภาษีที่ยังไม่ได้ใช้ยกไป
         ■ เครดิตภาษีที่ยังไม่ได้ใช้ยกไป

          หนี้สินภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี หมายถึง จำนวนภาษีเงินได้ที่กิจการต้องจ่ายในอนาคตซึ่งเกิดจากผลแตกต่างชั่วคราวที่ต้องเสียภาษี คูณกับอัตราภาษี

          จากที่ได้กล่าวไปแล้วเบื้องต้นว่าวัตถุประสงค์ระหว่างมาตรฐานการบัญชีกับประมวลรัษฎากรมีความแตกต่างกันเป็นเหตุให้กำไร(ขาดทุน)ทางบัญชีแตกต่างกันกับกำไร(ขาดทุน)ทางภาษี ผลแตกต่างดังกล่าวสามารถจัดประเภทออกเป็น 3 ประเภทดังนี้

          (1) ผลแตกต่างถาวร (Permanent Differences)

          (2) ผลแตกต่างชั่วคราว (Temporary Differences)

          (3) ผลขาดทุนสุทธิทางภาษียกไป (Tax Loss Carryforwards)

          ผลแตกต่างถาวรเป็นผลแตกต่างระหว่างกำไร(ขาดทุน)ทางบัญชีกับกำไร(ขาดทุน)ทางภาษีโดยถาวร กล่าวคือโดยมาตรฐานการบัญชีกำหนดให้ต้องรับรู้รายการในการคำนวณกำไร(ขาดทุน)ทางบัญชี แต่สำหรับประมวลรัษฎากรกำหนดไม่ให้รับรู้รายการดังกล่วไม่ว่าจะเป็นงวดบัญชีใดก็ตาม ในทางกลับกัน ผลแตกต่างที่เกิดขึ้นจากการบวกกับทางภาษีตามประมวลรัษฎากรและทางบัญชีไม่มีการรับรูปรายการในงวดบัญชีอนาคตใดก็ตาม ผลแตกต่างถาวรนี้จะไม่ก่อให้เกิดภาษีิเงินได้รอการตัดบัญชี

          ตัวอย่างเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดผลแตกต่างถาวร เช่น ค่ารับรองที่จ่ายเกินร้อยละ 0.3 ของจำนวนเงินยอดรายได้หรือยอดขายที่ต้องนำมารวมคำนวณกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่ายใดในรอบระยะเวลาบัญชีหรือของจำนวนเงินทุนที่ได้รับชำระแล้วถึงวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี แล้วแต่จำนวนใดจะมากกว่า แต่ถ้ารายจ่ายที่จะนำมาหักได้เกิน 10 ล้านบาท ส่วนที่เกิน 10 ล้านบาทถือเป็นผลแตกต่างถาวร

          อีกตัวอย่างของผลแตกต่างถาวรเป็นการปรับปรุงรายได้ดอกเบี้ยรับจากเงินที่ให้กรรมการกู้ยืม ซึ่งเงินกู้ยืมดังกล่าวเป็นเงินที่กรรมการของกิจการนำออกไปใช้โดยมิได้มีการคิดดอกเบี้ยระหว่างกัน แต่เพื่อไม่ต้องการให้เจ้าพนักงานประเมินใช้อำนาจในการประเมินรายได้ดอกเบี้ยรับย้อนหลังผู้ทำบัญชีจึงบวกรายการดอกเบี้ยรับดังกล่าวตามอัตราดอกเบี้ยตลาดในแบบแสดงรายการ ภงด50 รายการดังกล่าวเป็นรายการที่บวกเพิ่มตามประมวลรัษฎากรแต่ไม่มีการรับรู้รายการทางบัญชีในภายหลัง จึงถือว่ารายการดังกล่าวเป็นผลแตกต่างถาวร

          ผลแตกต่างชั่วคราว หมายถึง ผลแตกต่างระหว่างมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์และหนี้สินที่แสดงในงบแสดงฐานะการเงินกับฐานภาษีของสินทรัพยืและหนี้สินนั้น ผลแตกต่างชั่วคราวอาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ
         ■ ผลแตกต่างชั่วคราวที่ต้องเสียภาษี (taxable temporary differences) หมายถึง ผลแตกต่างชั่วคราวที่กิจการต้องนำไปรวมเป็นรายได้ในการคำนวณกำไร (ขาดทุน) ทางภาษีสำหรับงวดอนาคต เมื่อกิจการได้รับประโยชน์จากมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์หรือจ่ายชำระมูลค่าตามบัญชีของหนี้สิน ดังนั้นในปีปัจจุบันกิจการได้หักค่าใช้จ่ายหรือไม่ต้องรับรู้รายได้ในการคำนวณภาษี แต่ในอนาคตกิจการต้องบวกกลับค่าใช้จ่ายหรือต้องรับรู้รายได้รายการนี้ในอนาคตในการคำนวณภาษี
         ■ ผลแตกต่างชั่วคราวที่ใช้หักภาษี(deductible temporary differences) หมายถึง ผลแตกต่างชั่วคราวที่กิจการสามารถนำไปหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณกำไร(ขาดทุน) ทางภาษีได้สำหรับงวดอนาคต เมื่อกิจการได้รับประโยชน์จากมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์หรือจ่ายชำระมูลค่าตามบัญชีของหนี้สิน ดังนั้นในปีปัจจุบันกิจการเสียภาษีให้กับกรมสรรพากร แต่ในรอบบัญชีอนาคตกิจการสามารถขอคืนหรือเครดิตทางภาษีจากกรมสรรพากรได้

          ตัวอย่างที่ 1 เหตุการณ์ของผลแตกต่างชั่วคราวเช่นการตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ กิจการมียอดลูกหนึ้คงเหลือสิ้นปี 10 ล้านบาท กิจการตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญตามอายุลูกหนี้ 1 ล้านบาท ซึ่งไม่เข้าเกณฑ์ตามที่สรรพากรกำหนด ดังนั้น
          มูลค่าตามบัญชีของลูกหนี้เท่ากับ 9,000,000 บาท
          ฐานภาษีของลูกหนี้เท่ากับ 10,000,000 บาท
          มูลค่าตามบัญชีของลูกหนี้ต่ำกว่าฐานภาษีของลูกหนี้เท่ากับ 1,000,000 บาท ทำให้เกิดผลแตกต่างชั่วคราวที่ให้หักภาษีขึ้น กล่าวคือถ้าลูกหนี้ที่ตั้งค่าเผิื่อปฏิบัติตามหลักเกณฑ์กรมสรรพากรในอนาคต กิจการก็จะสามารถหักรายจ่ายนี้ได้ในงวดที่ปฏิบัติให้ถูกต้อง ประโยชน์ที่กิจการคาดว่าจะลงรายจ่ายได้รับในอนาคตนี้ต้องตั้งเป็นสินทรัพย์ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชีเท่ากับ 1,000,000 x 20% (สมมุติให้อัตราภาษีเท่ากับร้อยละ 20) = 200,000 บาท

          ผลขาดทุนสุทธิของงวดก่อนไม่ถือเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณกำไรทางบัญชีของงวดปัจจุบัน แต่ตามประมวลรัษฎากรของประเทศไทยแล้ว ระบุให้กิจการที่ผลขาดทุนสุทธิทางภาษียกมาที่ยังไม่ได้ใช้สามารถนำมาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไร(ขาดทุน) ทางภาษีได้ในงวดปัจจุบันได้ โดยผลขาดทุนทางภาษียกไป (Tax Loss Carry Forwards) นี้จะต้องไม่เกิน 5 ปีก่อนรอบระยะเวลาบัญชีปีปัจจุบัน

          ตามมาตรฐานบัญชี ฉบับที่ 12 (ปรับปรุง 2558) เรื่องภาษีเงินได้ ได้กำหนดให้กิจการต้องรับรู้สินทรัพย์ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชีสำหรับขาดทุนทางภาษีหรือเครดิตภาษีที่ยังไม่ได้ใช้เท่าที่มีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ว่า กิจการจะมีกำไรทางภาษีในอนาคตเพียงพอที่จะนำผลขาดทุนทางภาษีที่ยังไม่ได้ใช้หรือเครดิตภาษีที่ยังไม่ได้ใช้ดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ได้

      3. การคำนวณและการบันทึกบัญชีตามวิธีภาษีเงินได้รอตัดบัญชี

         3.1 การวัดมูลค่าและรับรู้ภาษีเงินได้รอตัดบัญชี
การวัดมูลค่าและรับรู้ภาษีเงินได้รอตัดบัญชีมี 4 ขั้นตอนหลักดังนี้
         ขั้นที่ 1 คำนวณมูลค่าตามบัญชีและฐานภาษีของสินทรัพย์และหนี้สินและหาผลแตกต่างชั่วคราวจากผลแตกต่างระหว่างมูลค่าบัญชีกับฐานภาษีของสินทรัพย์และหนี้สิน โดยผลแตกต่างชั่วคราวแบ่งออกเป็น 2 ชนิดตามที่ได้กล่าวไปแล้วคือ (1)ผลแตกต่างชั่วคราวที่ต้องเสียภาษีและ(2)ผลแตกต่างชั่วคราวที่ใช้หักภาษี
         ขั้นที่ 2 วัดมูลค่าสินทรัพย์ภาษีเงินได้รอตัดบัญชีหรือหนี้สินภาษีเงินได้รอตัดบัญชีจากผลคูณระหว่างผลแตกต่างชั่วคราวกับอัตราภาษีเงินไดที่คาดว่าจะต้องใช้ เมื่อกิจการจะได้รับประโยชน์จากสินทรัพย์หรือต้องจ่ายชำระหนนี้สินในอนาคต โดยไม่ต้องคิดลดมูลค่าของสินทรัพย์และหนี้สินภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี
         ขั้นที่ 3 รับรู้รายการสินทรัพย์ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชีหรือหนี้สินภาษีเงินได้รอการตัดบัญชีในงบแสดงฐานะการเงิน พร้อมทั้งรับรู้ค่าใช้จ่ายภาษีิเงินได้ในงบกำไรขาดทุน
         ขั้นที่ 4 การหักกลบรายการ กิจการต้องพิจารณาว่าสินทรัพย์ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชีและหนี้สินภาษีเงินได้รอการตัดบัญชีที่เกิดขึ้นนั้นเข้าเงืื่อนไขการหักกลบรายการได้หรือไม่ โดยพิจารณาการหักกลบรายการเมื่อ
           1. กิจการมีสิทธิตามกฎหมายมี่จะนำหักกลบกัน และ
           2. กิจการตั้งใจจะจ่ายชำระรายการดังกล่าวด้วยยอดสุทธิหรือกิจการตั้งใจจะรับคืนสินทรัพย์และจ่ายชำระหนี้สินในเวลาเดียวกัน

         ตัวอย่างที่ 2 บริษัท ไทยเฮง จำกัด (มหาชน) มีข้อมูลสินทรัพย์และหนี้สินในงบแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2559 ดังนี้

สินทรัพย์ มูลค่าตามบัญชี (หน่วย: บาท)
เงินสด 5,000
ลูกหนี้การค้าสุทธิ 10,000
อาคารและอุปกรณ์ 500,000
หนี้สิน
เจ้าหนี้การค้า 17,500
ค่าปรับทางภาษีค้างจ่าย 6,000
ประมาณการผลประโยชน์พนักงานค้างจ่าย 100,000

         ข้อมูลเพิ่มเติมมีดังนี้

         1) กิจการมีหนี้สินภาษีเงินได้รอการตัดบัญชีมียอดคงเหลือยกมา ณ วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559 เท่ากับ 1,800 บาท

         2) กิจการได้ตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญสำหรับลูกหนี้การค้าเป็นเงิน 17,000 บาท โดยไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามประมวลรัษฎากรในการบันทึกตัดเป็นค่าใช้จ่าย

         3) มูลค่าฐานภาษีของอาคารและอุุปกรณ์เท่ากับ 400,000 บาท และมูลค่าฐานภาษีของประมาณการผลประโยชน์พนักงานค้างจ่ายเท่ากับ 0 บาท

         4) ค่าปรับทางภาษีที่ลงเป็นรายจ่าย 6,000 บาทในปีนี้ไม่สามารถนำมาหักเป็นรายจ่ายทางภาษีได้

         5) ในปีนี้กิจการมีกำไรทางภาษี 30,000 บาท อัตราภาษี 20%

         ขั้นตอนการวัดและรับรู้ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชีมีรายละเอียดดังนี้

         ขั้นตอนที่ 1 คำนวณมูลค่าตามบัญชีและฐานภาษีของสินทรัพย์และหนี้สินและหาผลแตกต่างชั่วคราว

หน่วย: บาท
รายการ มูลค่าตามบัญชี ฐานภาษี ผลแตกต่างชั่วคราว
เงินสด 5,000 5,000 -
ลูกหนี้การค้าสุทธิ 10,000 27,000 17,000 ใช้ภาษี
อาคารและอุปกรณ์ 500,000 400,000 (100,000) ต้องเสียภาษี
เจ้าหนี้การค้า 17,500 17,500 -
ค่าปรับทางภาษีค้างจ่่าย 6,000 6,000 -
ประมาณการผลประโยชน์พนักงานค้างจ่าย 100,000 0 100,000 ใช้ภาษี

         ขั้นตอนที่ 2 วัดมูลค่าสินทรัพย์ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชีและหนี้สินภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี

หน่วย: บาท
รายการ ผลแตกต่างชั่วคราว อัตราภาษี จำนวนที่คำนวณ
หนี้สินภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี 100,000 x 20% = 20,000
สินทรัพย์ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี 117,000 x 20% = 23,400
สินทรัพย์ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 (23,400 - 20,000) = 3,400
หนี้สินภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี ณ วันที่ 1 มกราคม 2559 = 1,800
ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ของปี 2559
(คำนวณจากการล้างหนี้สิน 1,800 เป็นสินทรัพย์ 3,400 จงเป็นรายได้ 5,200)
= 5,200

         ขั้นตอนที่ 3 และ 4 รับรู้รายการสินทรัพย์เงินได้รอการตัดบัญชีในงบแสดงฐานะการเงินและค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ในงบกำไรขาดทุน

กำไรทางภาษีของปี 2559 30,000 บาท
คูณ อัตราภาษี 20%
ภาษีเงินได้ของงวดปัจจุบัน 6,000 บาท
หักรายการค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ที่เกิดจากการลดหนี้สินภาษีเงินได้รอตัดบัญชีเป็นสินทรัพย์ภาษีเงินได้รอตัดบัญชี 5,200 บาท
ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ด้าน 800 บาท

         การบันทึกบัญชี ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2559

เดบิต สินทรัพย์ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี 3,400
        หนี้สินภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี 1,800
        ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 800
       เครดิต ภาษีเงินได้ค้างจ่าย 6,000

         ตัวอย่างที่ 3 ณ วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 25X0 บริษัท สร้อยฟ้า จำกัด ซื้ออุปกรณ์ในราคา 500,000 บาท และตัดค่าเสื่อมราคาตามวิธีเส้นตรงโดยใช้อัตราร้อยละ 25 แต่ในทางภาษีกำหนดให้กิจการต้องตัดค่าเสื่อมราคาอุปกรณ์ในอัตราร้อยละ 20 ต่อปีตามวิธีเส้นตรง

         ระหว่างปี พ.ศ. 25x1 บริษัทซื้อเงินลงทุน A และจัดประเภทเป็นเงินลงทุนเพื่อค้าซึ่งมีราคาทุน 100,000 บาท นอกจากนี้ยังได้ซื้อเงินลงทุน B ซึ่งจัดประเภทเป็นเงินลงทุนเผื่อขายมีราคาทุน 200,000 บาท ต่อมา ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 25X1 มูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุน A ลดลงเหลือ 60,000 บาท และมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุน B เพื่อขึ้นเป็น 210,000 บาท

         ระหว่างปี พ.ศ. 25x1 บริษัทได้มีการตั้งประมาณนี้สินในการรับประกันคุณภาพสินค้าจำนวน 140,000 บาท และได้จ่ายเงินไปแล้วจนถึงวันสิ้นงวดเป็นเงิน 65,000 บาท

         ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 25X1 บริษัท สร้อยฟ้า จำกัด ใด้พิจารณาตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญสำหรับลูกหนี้บางรายการที่มีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่นนอนว่าจะไม่สามารถเรียกชำระได้เป็นจำนวนเงิน 90,000 บาท ผู้เชี่ยวชาด้านภาษีอากรแจ้งว่า หนี้สงสัยจะสูญดังกล่าวไม่สามารถถือเป็นรายจ่ายทางภาษีสำหรับปี พ.ศ. 25X1 ได้

         กำไรทางบัญชีก่อนภาษีของปี พ.ศ. 25X1 มีจำนวนเท่ากับ 1,100,000 บาท อัตราภาษีเงินได้เท่ากับ 20%

         ให้ทำ

         จงคำนวณภาษีเงินได้สำหรับปี 25X1 และ บันทึกบัญชี ณ วันที่ 31 ธีนวาคม พ.ศ. 25X1 สำหรับรายการสินทรัพย์ภาษีเงินได้รอการตัและหนี้สินภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี

อ้างอิง

         – คณะกรรมการกำหนดมาตรฐานการบัญชี. (2559). มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 12 (ปรับปรุง 2558) เรื่อง ภาษีเงินได้. กรุงเทพมหานคร: สภาวิชาชีพบัญชีในพระบรมราชูปถัมถ์.

         – นิพันธ์ เห็นโชคชัยชนะ, สิงห์ชัย อรุณวุฒิพงศ์. (2558). การบัญชีภาษีอากร. กรุงเทพมหานคร: ห้างหุ้นส่วนจำกัด ทีพีเอ็น เพรส.